Resources

สาส์นพระสันตะปาปาถึงเยาวชน ปี 2021

โดย เพื่อนคู่คริสต์ | 2 นาที

สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

เนื่องในโอกาสวันเยาวชนโลก ครั้งที่ 36 ค.ศ. 2021

21 พฤศจิกายน 2021

“จงลุกขึ้นยืนเถิด เราแต่งตั้งเจ้าให้เป็นพยานยืนยันสิ่งที่เจ้าเห็น”

(อ้าง กจ. 26:16)

ถึงเยาวชนที่รัก

อีกครั้งแล้ว ที่พ่อขอจับมือเดินไปกับพวกเธอด้วยจิตวิญญาณแห่งการเดินทางจาริก ซึ่งนำเราไปสู่วันเยาวชนโลก ปี ค.ศ. 2023 ในกรุงลิสบอน

สาส์นของพ่อเมื่อปีที่แล้ว ก่อนที่การระบาดหนักจะเกิดขึ้น พ่อได้เขียนสั้นๆ ในหัวข้อ “หนุ่มเอ๋ย เราบอกแก่ท่านว่า จงลุกขึ้นเถิด” (อ้าง ลก 7:14) ในแผนการเตรียมของพระองค์นั้น พระเจ้ากำลังเตรียมพวกเราให้พร้อมสำหรับการท้าทายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตที่พวกเรากำลังประสบอยู่

ทุกแห่งหนบนโลก พวกเราเป็นทุกข์จากการสูญเสียคนที่เรารักจำนวนมากและจากประสบการณ์การปลีกตัวออกจากสังคม มาตรการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขถูกกำหนดขึ้นสำหรับพวกเธอเยาวชนคนหนุ่มสาวโดยเฉพาะ ธรรมชาติของพวกเธอจะใช้ชีวิตนอกบ้าน ไปโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ไปทำงาน หรือไปพบปะสังสรรค์กันได้ พวกเธอคงรู้สึกว่ามาตรการนี้ทำให้พวกเธอต้องเผชิญกับความยากลำบาก มีคนที่ยากลำบากมากขึ้น ขาดการสนับสนุน รู้สึกสับสนไร้ทิศทาง เรายังเห็นปัญหาครอบครัวเพิ่มขึ้น การว่างงาน ความซึมเศร้า ความโดดเดี่ยว และพฤติกรรมเสพติด ซึ่งยังไม่ได้กล่าวถึงความเครียดที่เพิ่มขึ้น ความตึงเครียดต่าง ๆ ความโกรธเคืองและความรุนแรงที่ทวีเพิ่มขึ้น

ขอบคุณพระเจ้าที่สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นเพียงเหรียญด้านเดียว  ประสบการณ์เหล่านั้นแสดงถึงความเปราะบางของพวกเรา แต่อีกด้านหนึ่งก็เผยแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของเรา รวมถึงการโน้มเอียงไปสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวด้วยเช่นกัน ทั่วโลกเราพบเห็นผู้คนมากมายรวมทั้งคนหนุ่มสาวกำลังช่วยปกป้องชีวิต หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง รักษาเสรีภาพและความยุติธรรม และทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสะพานสู่สันติภาพ

เมื่อเยาวชนคนหนึ่งล้มลง โลกทั้งใบก็ล้มลงด้วยเช่นกัน และก็ยังคงเป็นเรื่องจริงด้วยว่า เมื่อเยาวชนคนหนึ่งลุกขึ้น โลกทั้งใบก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน  เยาวชนคนหนุ่มสาว ศักยภาพอันยิ่งใหญ่อยู่ในมือพวกเธอแล้ว! ความแข็งแกร่งก็อยู่ในหัวใจของพวกเธอด้วย!

ปัจจุบัน พระเจ้ากำลังตรัสกับเธอแต่ละคนว่า “จงลุกขึ้น!” พ่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสาส์นนี้จะเตรียมพวกเราสำหรับช่วงเวลาใหม่ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของมนุษยชาติ พวกเรายังไม่สามารถเริ่มอะไรใหม่ ๆ ได้หากปราศจากพวกเธอ  เยาวชนที่รัก โลกของเราจะลุกขึ้นได้ ต้องอาศัยความแข็งแกร่ง ความกระตือรือร้น ความปราถนาอันแรงกล้าของพวกเธอ  ดังนั้น พ่อจึงอยากไตร่ตรองถ้อยคำจากหนังสือกิจการอัครสาวกกับพวกเธอ ตอนที่พระเยซูเจ้าตรัสกับนักบุญเปาโล “จงลุกขึ้นยืนเถิด เราแต่งตั้งเจ้าให้เป็นพยานยืนยันสิ่งที่เจ้าเห็น” (อ้าง กจ. 26:16) 

การเป็นพยานของเปาโลต่อหน้ากษัตริย์

วลีที่ทำให้เกิดหัวข้อหลักของวันเยาวชนโลกปี 2021 นำมาจากการเป็นประจักษ์พยานของเปาโลต่อหน้ากษัตริย์อากริปปาหลังจากถูกจองจำ เปาโลผู้เป็นศัตรูและเบียดเบียนพระคริสตเจ้าอย่างเป็นทางการ แต่ตอนนี้เป็นผู้ที่กำลังถูกทดลองความเชื่อของเขาในพระคริสตเจ้า 25 ปีต่อมา อัครสาวกได้เล่าเรื่องที่เปาโลได้พบกับพระคริสตเจ้าอีกครั้ง

เปาโลกล่าวว่าเขาเคยเบียดเบียนคริสตชน จนวันหนึ่งขณะเดินทางไปดามัสกัสเพื่อไปจับกุมคริสตชนบางคน ก็เกิดแสงสว่างจ้า “สว่างกว่าดวงอาทิตย์” ล้อมรอบตัวเขาและเพื่อนๆ ของเขา (เทียบ กจ 26: 13) อย่างไรก็ตามมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “เสียง” เสียงของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับเขา กำลังเรียกชื่อของเขา

เซาโล! เซาโล!

ขอให้เรา ตรองดูเรื่องนี้ใกล้ ๆ โดยการเรียกชื่อ เซาโล พระเจ้าทรงทำให้เขาตระหนักว่าพระองค์รู้จักเขาป็นการส่วนตัว ราวกับว่าพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เรารู้ว่าท่านเป็นใคร กำลังจะทำอะไรอยู่ เรากำลังพูดกับท่านโดยตรง” พระเจ้าทรงเรียกชื่อเปาโลสองครั้ง เป็นเครื่องหมายของการเรียกที่สำคัญเป็นพิเศษ เหมือนดังที่เคยตรัสเรียกโมเสส (อ้าง อพย. 3:4) และซามูแอลมาก่อน (1ซมอ. 3:10) เมื่อเขาล้มลงกับพื้น เซาโลตระหนักว่าเขากำลังเห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ซึ่งเป็นการเปิดเผยอันทรงพลังที่ทำให้เกิดความสับสนแต่ไม่ได้ทำลายเขา และกลับพบว่าตัวเองถูกเรียกโดยชื่อของเขาเอง

มีเพียงการพบปะเป็นการส่วนตัวและระบุชื่อกับพระคริสตเจ้าเท่านั้นชีวิตจึงเปลี่ยนแปลงได้ พระเยซูเจ้า แสดงให้เซาโลรู้ว่าพระองค์รู้จักเขาอย่างดี “จากด้านในสู่ด้านนอก” ถึงแม้ว่าเซาโลจะเป็นคนเบียดเบียน แม้ใจของเขาจะเกลียดชัง คริสตชน แต่พระเยซูเจ้าทรงตระหนักรู้ว่า นี่เป็นเพราะความเขลา พระองค์ประสงค์แสดงพระเมตตาของพระองค์ พระคุณนี้ให้ด้วยใจรักที่กว้างขวาง และไร้เงื่อนไข ซึ่งจะเป็นแสงสว่างที่เปลี่ยนชีวิตของเซาโลอย่างสิ้นเชิง

ข้าแต่พระเจ้า พระองค์คือใคร?

ก่อนที่การปรากฏอย่างเร้นลับเพื่อเรียกชื่อของเขา เซาโลได้พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์คือใคร?” (กจ. 26:15) คำถามนี้เป็นคำถามที่ชัดเจน และไม่ช้าก็เร็ว เราต้องถามคำถามนี้ การได้ยินคนอื่นพูดถึงพระเยซูเจ้านั้นไม่เพียงพอ เราต้องสนทนากับพระองค์เป็นการส่วนตัวด้วยตัวของเราเอง ลึกยิ่งกว่านั้น นี่คือสิ่งที่ผู้อธิษฐานภาวนาทุกคนพึงปฏิบัติ การอธิษฐานภาวนาหมายถึงการสนทนาโดยตรงกับพระเยซูเจ้า แม้หัวใจของเรายังสับสน เต็มไปด้วยความสงสัยหรือแม้กระทั่งดูถูกเหยียดหยามพระคริสตเจ้าและคริสตชนก็ตาม พ่อภาวนาขอให้ในส่วนลึกของจิตใจเยาวชนทุกคนตั้งคำถามนี้ “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร?”

เราไม่อาจสรุปได้ว่าทุกคนรู้จักพระเยซูเจ้า แม้กระทั่งในยุคอินเตอร์เน็ต คำถามที่ผู้คนมากมายถามเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า และพระศาสนจักรของพระองค์คือ “คุณคือใคร?” ในเรื่องราวทั้งหมดของการเรียกของนักบุญเปาโล นี่เป็นครั้งเดียวที่เปาโลถาม และพระเจ้าทรงตอบทันทีว่า “เราคือเยซู ผู้ที่ท่านกำลังเบียดเบียน” (อ้างอิงแล้ว/(ibid.).

“เราคือเยซู ผู้ที่ท่านกำลังเบียดเบียน”

ด้วยคำตอบนี้ พระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงให้เซาโลเห็นถึงความเร้นลับที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือเขาเห็นตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรและกับคริสตชน ในประเด็นนี้เซาโลไม่เห็นสิ่งใดที่เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า เขากลับเห็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูเจ้า คนที่เขาจับกุม (อ้าง กจ 26:10) และคนที่ยอมให้เขาฆ่า (ibid.). เขาเห็นวิธีที่คริสตชนตอบสนองต่อความชั่วด้วยความดีงาม ความเกลียดชังด้วยความรัก การอดทนต่อความอยุติธรรม ความรุนแรง การกดขี่ข่มเหง และการเบียดเบียน เพื่อพระนามของพระคริสตเจ้าในทางกลับกัน เซาโลได้พบกับพระคริสตเจ้าแล้วโดยไม่รู้ตัว เขาได้พบพระองค์แล้วในคริสตชน

บ่อยแค่ไหนที่เรามักได้ยินคนพูดว่า “พระเยซูเจ้า ใช่, พระศาสนจักร ไม่ใช่” ราวกับเป็นทางเลือก เราไม่สามารถรู้จักพระเยซูเจ้าได้ ถ้าไม่รู้จักพระศาสนจักร ไม่มีใครไม่รู้จักพระเยซูเจ้า นอกจากพี่น้องชายหญิงในชุมชนของพระองค์ เราไม่สามารถเรียกตนเองว่าเป็นคริสตชนอย่างสมบูรณ์ได้ เว้นแต่เราจะประสบกับมิติความเชื่อของชุมชนคริสตชน

มันจะเจ็บถ้าเธอต่อต้านประตัก (ประตัก หมายถึง ไม้ที่ฝังเหล็กแหลมข้างปลายใช้แทงสัตว์พาหนะเช่นวัว)

ด้วยประโยคนี้ พระเจ้าทรงตรัสกับเซาโลหลังจากที่เขาล้มลงกับพื้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพระองค์ถึงเรียกชื่อเขาซ้ำ ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อพยายามดึงเขาเข้ามาหาพระองค์  อย่างไรก็ตาม เซาโลก็ยังคงต่อต้าน พระเจ้าของเราตรัสเรียกแบบนี้อย่างสุภาพกับเยาวชนทุกคนที่หนีห่างจากพระองค์เช่นกันว่า “อีกนานแค่ไหนที่เธอจะหนีห่างจากเรา? เหตุใดเธอไม่ได้ยินเสียงเรียกของเรา? เรากำลังคอยเธอหวนกลับมาหาเราอยู่”  มีหลายครั้งที่เราพูดเช่นนี้เหมือนประกาศกเยเรมีย์ว่า “ข้าพเจ้าไม่คิดถึงพระองค์อีกต่อไป” (เทียบ ยรม 20:9) ทว่าไฟยังแผดเผาอยู่ในใจของทุกคน แม้จะพยายามยับยั้งแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ เพราะไฟนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เราเป็นอยู่

พระเจ้าทรงเลือกคนที่กำลังเบียดเบียนพระองค์ คนที่เป็นปรปักษ์กับพระองค์และผู้ที่ติดตามพระองค์ เราเห็นว่า ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครสูญหายไปแม้แต่คนเดียว ต้องขอบคุณการพบปะเป็นการส่วนตัวกับพระองค์ ที่ทำให้เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ไม่มีเยาวชนคนใดอยู่เกินกว่าพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถพูดว่า “พระเจ้าอยู่ไกลเกินไป… มันสายไปแล้ว…”  มีคนหนุ่มสาวมากแค่ไหนที่ต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์ขณะที่ลึกในใจพวกเขารู้สึกต้องมุ่งมั่น ยังต้องการรักสุดใจ ปฏิบัติพันธกิจในชีวิต! พระเยซูเจ้าทรงเห็นสิ่งเหล่านี้ในหนุ่มเซาโลอย่างถ่องแท้

ยอมรับในความมืดบอดของตนเอง

เราจินตนาการว่าก่อนที่เซาโลพบพระคริสตเจ้า เขารู้สึก “ตัวเขาสมบูรณ์แบบ” โดยคิดว่าเขา “ยิ่งใหญ่” บนพื้นฐานคุณธรรม ความซื่อตรง ความกระตือรือร้นที่มากล้น ภูมิหลังและการศึกษาของเขา แน่นอน เขามั่นใจว่าเขากระทำถูกต้อง ครั้นพระเยซูเจ้าสำแดงองค์แก่เซาโล เขา “ล้มลงกับพื้น” ตาบอด และมองไม่เห็นฉับพลัน ทั้งทางกายและวิญญาณ ความมั่นใจของเขาถูกสั่นคลอน ภายในใจของเขาตระหนักดีว่าความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้าที่จะฆ่าคริสตชนนั้นเป็นสิ่งที่ผิดอย่างแรง เขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถถือครองและอยู่ไกลความจริงเที่ยงแท้ ความแน่นอนและเย่อหยิ่งของเขาสลายไป ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองสับสน อ่อนแอ และ “ตัวเล็ก”

ความอ่อนน้อมถ่อมตน  ความตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดของเรา  คือสิ่งสำคัญ! บรรดาคนที่คิดว่ารู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่นและความจริงของศาสนาดี เขาเหล่านั้นก็ยากที่จะพบปะพระเยซูเจ้า ครั้นเซาโลตาบอด สูญเสียจุดยืน อยู่อย่าง      โดดเดี่ยวในความมืดมิด มีเพียงแสงที่เขาเห็นและเสียงที่เขาได้ยินเท่านั้นที่ชัดเจนที่สุด ช่างขัดแย้งเสียจริง! เมื่อเราตาบอด เราก็เริ่มมองเห็น!

หลังจากเซาโลมีประสบการณ์อันทรงพลังระหว่างทางไปดามัสกัส เขาอยากให้เรียกชื่อเขาว่า เปาโล แปลว่า “เล็ก” นี่ไม่ใช่ชื่อเล่นหรือชื่อที่ขนานนามกันทั่วไปเช่นในปัจจุบัน การพบพระคริสตเจ้าของเขาได้เปลี่ยนชีวิตของเขา ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเล็กจริงๆ ทำลายทุกสิ่งที่ขวางกั้นไม่ให้เขารู้จักตนเองอย่างแท้จริง ดังที่เปาโลบอกกับพวกเราว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยในบรรดาอัครสาวก และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวก เพราะข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้า” (1คร 15:9)

นักบุญเทเรซาแห่งลีซีเออซ์ ก็เหมือนกับนักบุญองค์อื่นๆ คือ รักที่จะพูดว่าความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นความจริงเที่ยงแท้ ทุกวันนี้เราใช้เวลาของเราอย่างมากกับสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมออนไลน์ จำนวนของ “เรื่องราว” ซึ่งมักจะสร้างพื้นหลัง ใช้กล้องและเอฟเฟกต์พิเศษอย่างระมัดระวัง มากขึ้นเรื่อยๆ ที่เราต้องการเป็นจุดสนใจ มีกรอบที่สมบูรณ์แบบ และพร้อมให้ “เพื่อน” และ “ผู้ติดตาม” เห็นภาพลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งไม่ได้สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเรา พระคริสตเจ้า อาทิตย์ยามเที่ยงวัน เสด็จมาเพื่อสอนเราและฟื้นฟูเราไปสู่ความถูกต้อง ปลดปล่อยเราจากหน้ากากทั้งหมดของเรา พระองค์แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าเราเป็นใคร เพราะนั่นคือวิธีที่พระองค์ทรงรักเราอย่างแท้จริง

เปลี่ยนมุมมอง

การกลับใจของเปาโลไม่เกี่ยวข้องกับการหวนกลับ แต่เป็นการเปิดวิธีใหม่ในการมองเห็นสิ่งต่างๆ  เขาเดินทางต่อไปยังเมืองดามัสกัส แต่บางอย่างได้เปลี่ยนไป ตอนนี้เขากลายเป็นอีกคนที่ต่างออกไป (กจ 22:10)  การกลับใจเกิดขึ้นในชีวิตของเราได้ทุกวัน เราทำในสิ่งที่เราเคยทำก่อนหน้านั้น แต่ใจของเรา แรงจูงใจของเราเปลี่ยนไปแล้ว ในกรณีของเปาโล พระเยซูเจ้าบอกกับเขาว่าให้เดินทางไปยังดามัสกัสซึ่งเป็นเมืองที่เขาตั้งใจจะไป เขาเชื่อฟัง แต่ครั้งนี้เป้าหมาย และจุดประสงค์ในการเดินทางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากจุดนี้ เปาโลจะมองสิ่งต่างๆ ด้วยสายตาใหม่ ไม่ใช่ในฐานะผู้เบียดเบียนและเพชรฆาตอีกต่อไป แต่ในฐานะสานุศิษย์และประจักษ์พยานคนหนึ่ง ที่ดามัสกัส อานานีอัสเป็นผู้ล้างบาปให้เขาและแนะนำเขาต่อชุมชนคริสตชน ในความเงียบและการภาวนา เปาโลมีประสบการณ์อันลึกซึ้งและได้รับอัตลักษณ์ใหม่ที่พระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่เขา

อย่าให้ความแข็งแกร่งและความปรารถนาอันแรงกล้าของเยาวชนลดลง

ทัศนคติต่อตนเองของเปาโลก่อนพบกับพระเยซูเจ้า ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเรา  เยาวชนที่รัก เธอมีความแข็งแกร่งและความปรารถนาอันแรงกล้าในหัวใจของเธอมากแค่ไหน! ความมืดยังคงล้อมรอบและอยู่ข้างเธอ คอยขวางกั้นเธอไม่ให้เห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างที่เป็นจริง เธอเสี่ยงต่อการค้นพบว่าตัวเองพ่ายแพ้ในการต่อสู้ที่ไร้ความหมายและแม้กระทั่งการต่อสู้ที่รุนแรง น่าเศร้าใจที่เหยื่อรายแรก คือเธอและคนที่ใกล้ชิดเธอที่สุด นอกจากนี้ยังมีอันตรายจากการต่อสู้ที่มีเหตุเบื้องต้นจากการรักษาค่านิยม เมื่อไปจนสุดโต่งแล้ว กลับกลายเป็นภัยทำลายล้างอุดมคติ ทุกวันนี้ มีคนหนุ่มสาวจำนวนเท่าใดที่ได้รับแรงบันดาลใจ ถูกขับเคลื่อนจากความเชื่อทางการเมืองหรือศาสนา แล้วกลับกลายเป็นเครื่องมือของความรุนแรงและการทำลายล้างชีวิตของคนอื่นจำนวนมาก! บางคนเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างง่ายดาย ใช้โลกเสมือนจริงและสังคมออนไลน์เป็นสนามรบแห่งใหม่ ปล่อยข่าวปลอมเป็นอาวุธอย่างไร้ยางอายเพื่อกระจายพิษและกำจัดศัตรูของพวกเขา 

เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าบุกเข้าไปในชีวิตของเปาโล พระองค์ไม่หยุดยั้งบุคลิกลักษณะหรือลดละความกระตือรือร้นของพระองค์เลย พระองค์ยังนำของขวัญที่เต็มด้วยดอกไม้เพื่อให้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวดีอันยิ่งใหญ่ไปจนสุดปลายฟ้าปลายแผ่นดิน  

อัครสาวกของประชาชาติ

นับแต่นี้เป็นต้นไป เปาโลได้รับการขนานนามว่า “อัครสาวกของประชาชาติ” เปาโลเคยเป็นฟาริสีผู้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัดมาก่อน ที่นี่เราเห็นสิ่งที่ขัดแย้งอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ พระผู้เป็นเจ้าประทานความไว้วางใจให้แก่ทุกคนที่เคยเบียดเบียนพระองค์ เช่นเดียวกับเปาโล เราแต่ละคนก็สามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าที่กำลังตรัสว่า “เราวางใจเจ้า เรารู้จักเรื่องราวของเจ้า เราโอบอุ้มเรื่องเหล่านั้นไว้ร่วมกันกับเจ้า แม้ว่าบ่อยครั้งที่เจ้ามักต่อต้านเรา เราก็เลือกเจ้าและทำให้เจ้ากลายเป็นประจักษ์พยาน” วิธีคิดของพระเจ้าเปลี่ยนผู้เบียดเบียนที่เลวร้ายที่สุด ให้กลายเป็นประจักษ์พยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้

ศิษย์ของพระคริสตเจ้าถูกเรียกให้เป็น “แสงสว่างส่องโลก” (มธ 5:14) เปาโลต้องเป็นพยานในสิ่งที่ได้เห็น แต่ขณะนี้เขาตาบอด นี่เป็นอีกประเด็นที่ขัดแย้ง! ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวของเปาโล เขาจึงสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะส่งเขาไปหาใคร ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงได้เป็นประจักษ์พยาน “เจ้าจะเปิดตาของเขา จะทำให้เขาผ่านพ้นความมืดมาสู่ความสว่าง” (กจ 26:18)

“ลุกขึ้นและไปเป็นพยาน”

เมื่อเราน้อมรับชีวิตใหม่จากการรับศีลล้างบาป พระผู้เป็นเจ้าประทานพันธกิจสำคัญและเปลี่ยนแปลงชีวิตให้แก่เรา นั่นคือ “เจ้าต้องออกไปเป็นพยาน!”

ทุกวันนี้พระคริสตเจ้า ตรัสกับเราเช่นเดียวกับที่ตรัสกับเปาโลว่า ลุกขึ้นเถิด! อย่าจมปลักอยู่กับความพ่ายแพ้ของตนเองเลย พันธกิจกำลังรอเธออยู่! เธอสามารถเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้เริ่มทำสำเร็จในชีวิตของเธอได้เช่นกัน ดังนั้น ในพระนามของพระเยซูเจ้า พ่อจึงขอพวกเธอเช่นกันว่า

  • ลุกขึ้น! จงเป็นพยานว่าเธอก็ตาบอดและได้พบกับแสงสว่างนั้นแล้ว เธอเคยเห็นความดีและความงดงามของพระเจ้าในตัวเธอ ในผู้อื่น ในชุมชนของพระศาสนจักรที่ซึ่งความโดดเดี่ยวทั้งปวงถูกครอบไว้
  • ลุกขึ้น! จงเป็นพยานถึงความรักและเคารพว่าการปลูกฝังสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ การอยู่ร่วมกันในครอบครัว การเสวนาระหว่างพ่อแม่ลูก และระหว่างเยาวชนกับผู้อาวุโส ยังคงเป็นไปได้อยู่
  • ลุกขึ้น! จงพยุงไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคม ความจริงและความซื่อสัตย์ สิทธิมนุษยชน ปกป้องผู้ถูกเบียดเบียน คนยากจน และคนอ่อนแอ และผู้ที่ไม่มีเสียงในสังคม รวมทั้งผู้อพยพลี้ภัย
  • ลุกขึ้น! จงเป็นพยานถึงวิธีใหม่ในการมองสิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยให้เธอมองเห็นสิ่งสร้างด้วยตาที่เปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ ที่ทำให้เธอเห็นโลกเป็นดังบ้านของเราทุกคน และช่วยให้เธอกล้าที่จะส่งเสริมระบบนิเวศที่สมบูรณ์
  • ลุกขึ้น! จงเป็นพยานว่าชีวิตที่ล้มเหลวสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ จิตวิญญาณของคนที่ตายด้านสามารถปลุกขึ้นใหม่ได้ ความเป็นทาสสามารถปลดปล่อยเป็นอิสระได้ หัวใจที่ท่วมท้นด้วยความทุกข์สามารถค้นพบความหวังได้
  • ลุกขึ้น! จงเป็นพยานถึงความปิติยินดีว่าพระคริสตเจ้าทรงพระชนม์อยู่! เผยแพร่ข่าวสารแห่งความรักและการรอดพ้นของพระองค์ให้กับผู้คนร่วมสมัยของเธอ ทั้งที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน ในโลกดิจิทัล และในทุกหนแห่ง

พระผู้เป็นเจ้า พระศาสนจักรและพระสันตะปาปาวางใจในพวกเธอและขอแต่งตั้งเธอให้เป็นพยานต่อหน้าคนหนุ่มสาวทั้งปวงซึ่งคือคนที่เธอจะไปพบปะกับพวกเขาในปัจจุบัน “บนถนนสู่ดามัสกัส” อย่าลืมว่า “ผู้ใดก็ตาม ที่ได้รับประสบการณ์ความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากหรือการฝึกฝนนานเพื่อออกไปประกาศความรักของพระองค์ คริสตชนทุกคนคือผู้แพร่ธรรมตราบเท่าที่เขาหรือเธอได้พบกับความรักของพระเจ้าในพระคริสตเยซู” (ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร, 120)

ลุกขึ้นและฉลองวันเยาวชนโลกกับพระศาสนจักรท้องถิ่นเถิด!

พ่อขอเชิญชวนลูกๆ เยาวชนคนหนุ่มสาวทั่วโลกมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อีกครั้ง จงเป็นส่วนหนึ่งการเดินทางจาริกแสวงบุญที่นำไปสู่จิตวิญญาณแห่งการเฉลิมฉลองวันเยาวชนโลกในปี ค.ศ. 2023 ณ กรุงลิสบอน อย่างไรก็ตามในงานครั้งต่อไปจะเป็นการฉลองในระดับพระศาสนจักรท้องถิ่น ในสังฆมณฑลต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งปี ค.ศ. 2021 นี้จะเป็นการฉลองในระดับท้องถิ่น ในโอกาสวันสมโภชพระคริสตกษัตริย์

พ่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราทุกคนจะได้สัมผัสกับขั้นตอนเหล่านี้ตลอดเส้นทางในฐานะผู้แสวงบุญที่แท้จริง ไม่ใช่ในฐานะ “นักท่องเที่ยวทางศาสนา”! ขอให้เราเปิดรับมากขึ้นเรื่อย ๆ กับสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจของพระเจ้า เพราะพระองค์ต้องการจุดไฟให้สว่างไสวบนเส้นทางของเรา ขอให้เราเปิดใจรับฟังเสียงของพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านทางเสียงของพี่น้องของเรา ด้วยวิธีเหล่านี้ เราจะพยุงกันและกันเพื่อลุกขึ้นด้วยกัน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในประวัติศาสตร์ของเรา เราจะกลายเป็นผู้เผยแผ่พระวจนะแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง! ขอพระนางมารีย์พรหมจารีช่วยวิงวอนเพื่อเราทุกคนเทอญ

โรม, โบสถ์นักบุญยอห์นแห่งลาเตรัน, 14 กันยายน 2021

วันฉลองเทิดทูนไม้กางเขน