สาสน์พระสันตะปาปาถึงเยาวชน
ปี 2006 ครั้งที่ 21
“พระวาจาของพระองค์คือตะเกียงส่องทางเท้า และเป็นแสงสว่างนำทางให้ข้าพเจ้า” (สดด 119 [118] : 105)
มิตรเยาวชนที่รัก!
เราใคร่ส่งความปรารถนาดีมายังพวกเธอ ในขณะที่เธอกำลังเตรียมตัวฉลองวันเยาวชนโลกครั้งที่ 21 เรายังจำได้ดีถึงประสบการณ์ที่เราได้รับร่วมกันในเดือนสิงหาคมเมื่อปีที่แล้วที่ประเทศเยอรมนี เราจะฉลองวันเยาวชนโลกปีนี้ในพระศาสนจักรท้องถิ่นต่างๆ คงจะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้จุดประกายแห่งความร้อนรนอีกครั้งหนึ่ง ประกายที่เราจุดขึ้นที่เมืองโคโลญ ประกายที่พวกเธอได้นำกลับไปยังบ้าน วัด สมาคม และกระบวนการต่างๆของเธอ ในขณะเดียวกัน จะเป็นโอกาสดีที่สุดที่เธอจะได้ชักชวนเพื่อนๆวัยเดียวกันให้ได้เข้ามาร่วมเดินทางฝ่ายจิตไปหาพระคริสตเจ้าอีกด้วย
หัวข้อที่เรานำเสนอมาให้พวกเธอไตร่ตรองปีนี้เอามาจากเพลงสดุดีที่ 119 [118]: “พระวาจาของพระองค์คือตะเกียงส่องทางเท้าและเป็นแสงสว่างนำทางให้ข้าพเจ้า” (105) สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงอธิบายความหมายของเพลงสดุดีวรรคนี้ดังต่อไปนี้ “ผู้ที่สวดภาวนาล้วนแสดงความกตัญญูต่อบทบัญญัติของพระเป็นเจ้าที่พระองค์ทรงประทานให้เป็นประดุจตะเกียงส่องทางเท้าในหนทางแห่งชีวิตที่บ่อยครั้งแสนจะมืดมิด” (ตรัสแก่ผู้เข้าเฝ้า วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2001) พระเป็นเจ้าทรงเผยพระองค์เองในประวัติศาสตร์ พระองค์ทรงตรัสกับมนุษย์ และพระวาจาที่พระองค์ทรงตรัสนั้นทรงมีพลังแห่งการสร้าง คำ “dabar” ในภาษาฮีบรู ซึ่งปกติแปลว่า “คำพูด””นั้นที่จริงแล้วมีความหมายสองอย่าง คือ เป็นทั้ง คำพูด และ การกระทำ พระเป็นเจ้าทรงตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ตรัส พระธรรมเก่าประกาศให้ลูกหลานชนชาติอิสราเอลทราบถึงการเสด็จมาของพระเมสซีอาและการสถาปนาพันธะสัญญาใหม่ และในพระวจนาถที่ถูกทำให้เป็นพระวรกายนั้น พระองค์ทรงทำให้คำสัญญาของพระองค์กลายเป็นความจริง สิ่งนี้ได้มีคำอธิบายไว้อย่างชัดเจนในคำสอนของพระศาสนจักร: “พระคริสตเจ้า พระบุตรแห่งพระเจ้าผู้ทรงรับเอาสภาพมนุษย์ เป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระบิดา ทรงเป็นพระวจนาถที่ครบครันและไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในองค์พระคริสตเจ้าพระเป็นเจ้าได้ทรงตรัสทุกสิ่ง จะไม่มีพระวาจาอื่นใดอีกนอกจากพระวจนาถองค์เดียวนี้” (ข้อ 65) พระจิตผู้ทรงนำประชากรผู้ได้รับการเลือกสรรโดยการดลใจผู้นิพนธ์พระคัมภีร์ ทรงเปิดดวงใจของผู้ที่มีความเชื่อให้สามารถเข้าใจความหมายได้ พระจิตพระองค์เดียวกันนี้ยังคงประทับและทำงานอยู่ในการเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท เมื่อพระสงฆ์ “ในองค์พระคริสตเจ้า” กล่าวคำเสกศีลโดยเปลี่ยนปังและเหล้าองุ่นให้เป็นพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้าเพื่อเป็นอาหารฝ่ายจิตเลี้ยงบรรดาสัตบุรุษ เพื่อที่เราจะได้ก้าวหน้าในการเดินทางของเราในโลกนี้สู่พระอาณาจักรสวรรค์ เราจะต้องได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพระวาจาและปังแห่งชีวิตนิรันดร์ และสองสิ่งนี้จะแยกออกจากกันไม่ได้โดยเด็ดขาด
บรรดาอัครสาวกได้รับพระวาจาแห่งความรอดและส่งมอบต่อให้ผู้สืบทอดตำแหน่งเฉกเช่นเพชรพลอยประเสริฐที่เก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยในกำปั่นของพระศาสนจักร ปราศจากเสียซึ่งพระศาสนจักรแล้วไซร้ มุกข์นี้เสี่ยงต่อการสูญหายหรืออาจถูกทำลายลงได้ เยาวชนที่รัก ขอให้พวกเธอจงรักพระวาจาและจงรักพระศาสนจักร การทำเช่นนี้จะทำให้พวกเธอสามารถเข้าถึงขุมทรัพย์ที่มีคุณค่ายิ่ง และจะช่วยสอนให้พวกเธอรักความมั่งคั่งของมัน จงรักและเชื่อฟังพระศาสนจักร เพราะพระศาสนจักรได้รับพันธกิจจากพระผู้สร้างในการไขแสดงให้ประชาคมเห็นหนทางแห่งความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทราบและพบความสุขถ่องแท้ในโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักจะตกเป็นทาสของวิธีคิดของยุคปัจจุบัน พวกเขาอาจคิดว่าตนมี “เสรีภาพ” ทว่า พวกเขากำลังถูกชักนำให้หลงทางจมปลักอยู่ในความผิดพลาดหรืออุดมการณ์นอกลู่นอกทาง “เสรีภาพในตัวมันเองต้องได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ” (เทียบสมณสาส์น Veritas Splendor, 86) อีกทั้งความมืดที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่นั้นต้องการแสงสว่าง พระเยซูเจ้าสอนเราให้ทราบว่าจะต้องทำอย่างไร “หากท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในวาจาของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และท่านทั้งหลายจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” (ยน. 8: 31-32) พระวจนาถผู้ทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์ พระวจนาถแห่งความจริง ทรงทำให้เราเป็นไท และทรงนำความเป็นไทของเราสู่คุณงามความดีทั้งหลาย เยาวชนที่รัก จงรำพึงพระวาจาของพระเป็นเจ้าบ่อยๆ และปล่อยให้พระจิตเป็นพระอาจารย์ของเธอ เมื่อนั้นเธอจะพบว่า วิธีคิดของพระเป็นเจ้านั้นไม่เหมือนกับวิธีคิดของมนุษย์ พวกเธอจะพบว่าตนกำลังถูกนำให้พิศเพ่งพระเป็นเจ้า ให้สามารถอ่านเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ได้โดยอาศัยพระเนตรของพระองค์ พวกเธอจะได้ลิ้มรสกับความชื่นชมยินดีอย่างบริบูรณ์ที่เกิดจากความจริง ในการเดินทางแห่งชีวิต ซึ่งไม่ใช่ของง่ายหรือปราศจากซึ่งภาพลวงตา พวกเธอจะประสบกับความยุ่งยากและความทุกข์ และบางครั้งพวกเธอจะถูกประจลให้ร้องตะโกนออกมาเช่นผู้นิพนธ์เพลงสดุดีว่า “ข้าพเจ้าถูกรังแกหนักเหลือเกิน” (สดด. 119 [118]. V. 107) จงอย่าลืมเพิ่มอุทานอย่างที่ผู้นิพนธ์เพลงสดุดีทำด้วย นั่นคือ “ข้าแต่พระเป็นเจ้า โปรดทรงประทานชีวิตให้แก่ข้าพเจ้าตามพระวาจาของพระองค์ด้วยเถิด… ข้าพเจ้ารักษาชีวิตไว้ในมือเสมอ แต่ข้าพเจ้าก็มิได้ลืมบัญญัติของพระองค์” (ibid. cc. 107; 109) การประทับอยู่ของพระเป็นเจ้าโดยอาศัยพระวาจาของพระองค์คือตะเกียงที่ขับไล่ความมืดแห่งความหวาดกลัวออกไป และนำความสว่างมาสู่หนทางเดินของเราแม้ยามที่เราตกอยู่ในภาวะคับขัน
ผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรูบอกว่า “พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (4: 12) จำเป็นจะต้องตระหนักอย่างจริงจังถึงการเชื่อมโยงพระวจนะของพระเป็นเจ้าซึ่งจะแยกออกไม่ได้กับ “ศาสตราวุธ” ในการต่อสู้ฝ่ายจิต สิ่งนี้จะบังเกิดผลหากเรารู้จัก ฟัง พระวาจาและ นบนอบ พระวาจานั้น คำสอนของพระศาสนจักรอธิบายไว้ว่า “นบนอบ (มาจากภาษาลาติน ob-audire ‘ได้ยิน หรือ ฟัง’ ในความเชื่อนั้นคือการยอมโดยเสรีต่อพระวาจาที่เราได้ยิน เพราะเหตุว่าความจริงแห่งพระวาจานั้นถูกรับรองโดยพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นองค์แห่งความจริงเอง” (ข้อ 144) อาบราฮัมเป็นแบบฉบับเรื่องนี้อาศัยการฟังซึ่งที่แท้แล้วกลายเป็นความนบนอบ ส่วนโซโลโมนเป็นผู้ที่หลงใหลในการแสวงหาปรีชาญาณจากพระวจนะ “จงถามซิว่าเราควรจะให้อะไรแก่ท่าน” กษัตริย์ผู้เฉลียวฉลาดตอบว่า “โปรดประทานหัวใจที่รู้จักเข้าใจแก่ข้ารับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด” (1 พกษ 3: 5, 9) ความลับในการได้มาซึ่ง “หัวใจที่รู้จักเข้าใจ” ได้แก่การฝึกใจให้รู้จัก ฟัง นั่นเอง จะได้มาด้วยการรำพึงอย่างสม่ำเสมอถึงพระวาจาของพระเจ้าและโดยอาศัยการยึดมั่นในปณิธาณที่จะเรียนรู้ให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
เยาวชนที่รัก เราขอร้องให้พวกเธอจงได้สร้างความคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ จงมีติดมือไว้เสมอ เพื่อที่มันจะได้เป็นเข็มทิศที่คอยชี้นำทางเดินให้เธอ อาศัยการอ่านมันบ่อยๆจะทำให้พวกเธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระคริสตเจ้า ขอให้ระลึกถึงสิ่งที่นักบุญเยโรมกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “การไม่รู้จักพระคัมภีร์คือการไม่รู้จักพระคริสตเจ้า” (PL 24,17; cf Dei Verbum, 25) การใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในการศึกษาและลิ้มรสพระวาจาของพระเป็นเจ้าได้แก่การทำวัตร (lectio divina) ซึ่งเป็นการเดินทางฝ่ายจิตได้อย่างถูกต้องและแท้จริงด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอน หลังการอ่าน ซึ่งหมายถึงการอ่านข้อความจากรพระคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยพยายามจับใจความสำคัญไว้ จากนั้นเราก็รำพึง ช่วงที่เราทำการรำพึงไตร่ตรองนี้ จิตวิญญาณของเราก็โหยกลับไปหาพระเป็นเจ้า พยายามที่จะเข้าใจว่าพระองค์กำลังทรงตรัสอะไรกับเราในวันนี้ จากนั้นก็มาถึงช่วงของการสวดภาวนา ซึ่งเป็นการสนทนาโดยตรงของเรากับพระเป็นเจ้า สุดท้ายเราก็มาถึงขั้นเพ่งพิศ การเพ่งพิศนี้จะช่วยให้เราควบคุมหัวใจให้เราตระหนักและรำลึกถึงการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้า ซึ่งพระวาจาของพระองค์เป็นเสมือน “ประทีปที่ส่องสว่างในที่มืดจนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวประจำรุ่งจะผุดขึ้นในใจของท่านทั้งหลาย” (2 ปต. 1: 19) การอ่าน การศึกษา และการรำพึงพระวาจาจึงควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมออย่างสัตย์ซื่อต่อพระคริสตเจ้าและคำสั่งสอนของพระองค์
นักบุญยวงบอกเราว่า “จงเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามพระวาจา ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับฟังแล้วหลอกตัวเอง เหตุว่า ผู้ใดฟังพระวาจาแล้วไม่นำเอาไปปฏิบัติ พวกเขาจะเป็นเหมือนผู้ที่มองตนเองในกระจกเงาที่มองตัวเองแล้วก็จากไป โดยลืมไปทันทีเหมือนกันว่าตนเองหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ผู้ที่มองลงไปอย่างลึกซึ้งถึงพระธรรมบัญญัติ บัญญัติแห่งเสรีภาพ แล้วเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่คนที่ฟังแล้วลืม แต่เป็นคนที่ลงมือปฏิบัติ เขาเหล่านั้นจะได้รับพระพรในการกระทำของพวกเขา” 1: 22-25) ผู้ที่ได้รับฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้าแล้วนำไปรำพึงบ่อยๆจะกลายเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนรากฐานที่มั่นคงเข้มแข็ง พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า “เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา” (มธ. 7: 24) มันจะไม่พังพินาศเมื่อมีพายุ
การสร้างชีวิตของพวกเธอในพระคริสตเจ้า การยอมรับพระวาจาด้วยความชื่นชมและนำเอาคำสอนแห่งพระวาจานั้นสู่การปฏิบัติ เยาวชนแห่งสหัสวรรษที่สามที่รัก สิ่งนี้ควรเป็นโครงการในชีวิตของพวกเธอ เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีเยาวชนรุ่นใหม่เป็นอัครสาวกที่ยึดหลักอย่างมั่นคงในพระวาจาของพระคริสตเจ้า สามารถที่จะตอบสนองต่อการท้าทายในยุคสมัยของเรา และมีความพร้อมที่จะเผยแพร่พระวรสารออกไปให้กว้างไกล นี่คือสิ่งที่พระคริสตเจ้าทรงเรียกร้องจากพวกเธอ พระศาสนจักรเรียกร้องพวกเธอให้ปฏิบัติเช่นนี้ และสิ่งนี้นี่เองที่โลก ถึงแม้จะไม่ตระหนักในเรื่องนี้ ต่างคาดหวังจากพวกเธอ หากพระเยซูเจ้าเรียกเธอ จงอย่างกลัวที่จะตอบสนองพระองค์ด้วยใจกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงเรียกพวกเธอให้ติดตามพระองค์ไปในชีวิตนักบวชหรือในการเป็นพระสงฆ์ จงอย่าได้เกรงกลัว จงวางใจในพระองค์แล้วเธอจะไม่มีวันผิดหวัง
เยาวชนที่รัก วันเยาวชนโลกครั้งที่ 21 ที่จะมีการเฉลิมฉลองกันในวันแห่ใบลาน คือวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายนนี้นั้น เราจะส่งใจร่วมและเริ่มเดินทางไปพร้อมกันกับบรรดาเยาวชนในการเผชิญหน้ากับโลก ซึ่งจะมีการชุมนุมใหญ่กันที่นครซิดนี่ย์ในเดือนกรกฎาคม 2008 เราจะเตรียมใจสำหรับงานนั้นด้วยการไตร่ตรองในหัวข้อ พระจิตเจ้าและพันธกิจ ตามลำดับ ปีนี้เราจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับพระจิต พระจิตแห่งความจริง ผู้ทรงเผยแสดงพระคริสตเจ้าแก่เรา ทรงเผยพระวจนาถผู้ทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์ ทรงเปิดดวงใจของเราแต่ละคนสู่พระวจนะแห่งการไถ่กู้ที่ทรงนำพาเราสู่ความบริบูรณ์แห่งความจริง ในปีหน้า (2007) เราจะรำพึงข้อความจากพระวรสารของท่านนักบุญยอห์น “เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ยน. 13: 34) เราจะเรียนรู้กันมากขึ้นเกี่ยวกับพระจิต ผู้ทรงเป็นองค์แห่งความรัก ผู้ทรงประทานความรักแห่งพระเจ้าในจิตใจเราและทำให้เราตระหนักถึงความต้องการทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจของบรรดาพี่น้องชายหญิงของเรา และที่สุดเราจะมาถึงวันชุมนุมเยาวชนโลกในปี 2008 ซึ่งหัวข้อการรำพึงจะเป็น “ท่านจะได้รับฤทธิ์เดชเมื่อพระจิตจะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา” (กจ. 1: 8)
เยาวชนที่รัก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภายใต้บรรยากาศแห่งการสดับฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้า จงเรียกหาพระจิต พระจิตแห่งความเข้มแข็งและการเป็นประจักษ์พยาน จงวิงวอนขอพระองค์ได้ทรงประทานให้พวกเธอสามารถที่จะประกาศพระวรสารจนสุดแคว้นแดนดินโดยไม่มีความเกรงกลัว พระแม่มารีของเราทรงประทับอยู่ ณ อาหารมื้อค่ำกับบรรดาอัครสาวกในขณะที่พวกเขากำลังรอการเสด็จมาของพระจิต ขอให้พระมารดาเป็นแม่และผู้นำทางของพวกเธอ ขอพระนางโปรดสอนพวกเธอให้รู้จักรับพระวาจาของพระเป็นเจ้า ให้รู้จักรักษาไว้และเก็บไตร่ตรองภายในใจ (เทียบ ลก. 2: 19) เฉกเช่นที่พระแม่ได้ทรงปฏิบัติตลอดชีวิต ขอพระแม่ทรงให้กำลังใจเธอที่จะประกาศว่า “ตกลง” ต่อพระคริสตเจ้าด้วยการเจริญชีวิตในความเชื่อ ขอพระแม่ทรงช่วยพวกเธอให้มีความเข้มแข็งในความเชื่อ มีความไว้ใจมั่นคง มีความรักยั่งยืน และเอาใจจดจ่ออยู่กับพระวาจาของพระเป็นเจ้าเสมอ เราจะอยู่กับพวกเธอในคำภาวนา และเราขออวยพรพวกเธอแต่ละคนด้วยความรัก
นครวาติกัน 22 กุมภาพันธ์ 2006 วันฉลองธรรมมาศน์นักบุญเปโตร
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16
ว. ประทีป แปล