สาสน์พระสันตะปาปาถึงเยาวชน
ปี 2020 ครั้งที่ 35
“หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” (ลก.7:14)
บรรดาเยาวชนที่รักยิ่ง
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2018 มีการประชุมสมัชชาบิชอป (การประชุมพระสังฆราชทั่วโลก) ในหัวข้อ “เยาวชนคนหนุ่มสาว กับความเชื่อและการไตร่ตรองกระแสเรียก” พระศาสนจักรได้เริ่มดำเนินการให้พวกลูก ตระหนักถึงสถานที่ที่ลูกอยู่ในโลกปัจจุบันนี้การค้นหาความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิต รวมถึง ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพระเจ้า ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2019 พ่อได้พบปะกับเยาวชนหลายพันคน ซึ่ง เป็นคนร่วมวัยเดียวกับพวกลูกจากทั่วโลกมารวมตัวกันที่ประเทศปานามาในโอกาสงานวันเยาวชนโลก ใน โอกาสสำคัญเช่นนี้ซึ่งเป็นการประชุม Synod และวันเยาวชนโลก แสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงอีกมิติหนึ่งของ พระศาสนจักร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญและทำให้พวกเรารู้ความจริงที่ว่า “พวกเราร่วมเดินทางไปด้วยกัน”
ในการเดินทางครั้งนี้ในแต่ละครั้งที่เราได้ก้าวเดินนั้น เราได้เผชิญการทดลองของพระเจ้าและชีวิต ของเราเอง เพื่อสร้างการเริ่มต้นครั้งใหม่ สำหรับเยาวชนนั้น พวกลูกคุ้นเคยในสิ่งนี้อยู่แล้ว พวกลูกรักการ เดินทางเพื่อแสวงหาสถานที่ใหม่ๆ คนใหม่ๆ รวมถึงประสบการณ์ใหม่ๆ นี่คือสาเหตุที่พ่อได้เลือกกรุง ลิสบอน เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส สำหรับการแสวงบุญระหว่างทวีปซึ่งจะเกิดขึ้นในปีค.ศ. 2022 ใน ศตวรรษที่ 15 และ 16 เยาวชนรวมถึงบรรดามิชชันนารีจำนวนมาก ได้ออกเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่มีใคร รู้จัก เพื่อป่าวประกาศและแบ่งปันประสบการณ์ที่มีต่อพระเยซูเจ้ายังทุกคนและทุกชาติสำหรับหัวข้อของงาน เยาวชนโลกที่กรุงลิสบอนคือ “พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทาง” (ลก 1:39) ในระหว่างช่วงเวลา 2 ปีที่จะมี
กิจกรรม พ่ออยากจะไตร่ตรองกับพวกลูกเกี่ยวกับสองข้อความซึ่งมาจากพระคัมภีร์สำหรับปีค.ศ. 2020 ด้วยหัวข้อที่ว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” (ลก 7:14) และสำหรับปี ค.ศ. 2021 “จงลุกขึ้นเถิด เราแสดงตนแก่เจ้า เพื่อแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา” (กจ 26:16)
ดังที่ลูกทุกคนเห็นว่า คำกริยา “arise” แปลว่า ลุกขึ้น หรือคำว่า “stand” ซึ่งแปลว่ายืนขึ้น ปรากฏอยู่ ใน 3 หัวข้อหลักนี้นั่นหมายถึงการกลับเป็นขึ้นมา การตื่นขึ้นมาสำหรับชีวิตใหม่ คำเหล่านี้ปรากฏบ่อยครั้ง ในสมณลิขิตเตือนใจ “Christus Vivit พระคริสตเจ้าทรงพระชนม์” ซึ่งพ่อได้กล่าวกับลูกๆ ในการประชุมในปี ค.ศ. 2018 ด้วยข้อความที่ว่า พระศาสนจักรปรารถนาให้ลูกทุกคนเป็นดั่งตะเกียงที่ส่องสว่างเส้นทางแห่ง ชีวิตของลูก พ่อมีความหวังด้วยใจจริงว่า การเดินทางของพวกเราไปที่กรุงลิสบอนนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกับ ความพยายามของพระศาสนจักรเพื่อสารข้อความสองอย่างนี้จะบังเกิดผล อีกทั้งเพื่อชี้นำพันธกิจของบรรดา ผู้ที่ดูแลทำงานด้านอภิบาลเยาวชน
พ่อขอเชิญชวนพวกเราทุกคนพิจารณาไตร่ตรองถึงหัวข้อของปีนี้ในหัวข้อที่ว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอก เจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” (เทียบ ลก 7:14) พ่อได้กล่าวถึงข้อความนี้ในสมณลิขิตเตือนใจ “Christus Vivit พระคริสตเจ้าทรงพระชนม์” ซึ่งเขียนไว้ว่า “ถ้าลูกสูญเสียพลังภายใน ความฝัน ความกระตือรือร้น การมอง โลกในแง่ดีและการมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของลูกไป พระเยซูเจ้าประทับยืนอยู่ต่อหน้าลูกเหมือนครั้งหนึ่ง ทรงยืนอยู่หน้าร่างบุตรชายอันไร้วิญญาณของหญิงม่าย ด้วยพลานุภาพแห่งการกลับคืนพระชนมชีพของ พระองค์พระองค์ทรงกระตุ้นลูกว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” (ข้อที่ 20)
ข้อความตอนนี้ในพระคัมภีร์บอกพวกเราทุกคนเมื่อพระเยซูเสด็จไปในเมืองนาอิน แคว้นกาลิลี ทอดพระเนตรเห็นขบวนเคลื่อนร่างอันไร้วิญญาณของชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรชายของหญิงม่าย พระองค์ทรงรับรู้ถึงความเศร้าโศกของนาง จากนั้นทรงปลุกชายคนนั้นให้กลับมามีชีวิตใหม่ พระองค์ทรงทำ อัศจรรย์หลังจากพูดคุยและมีปฏิกิริยาต่อหญิงม่ายที่กำลังโศกเศร้า “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนาง ทรง สงสารและตรัสว่า ‘อย่าร้องไห้เลย’ แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ทรงแตะแคร่หามร่างนั้น คนหามก็หยุด” ให้ เราได้คิดและรำพึงสักครู่หนึ่งถึงการพูดคุยและปฏิกิริยาของพระองค์
ความสามารถที่จะมองเห็นและเข้าใจถึงความเจ็บปวดและความตาย
พระองค์ทอดพระเนตรในขบวนนั้นอย่างสนพระทัย ในท่ามกลางฝูงชนนั้น พระองค์ทรงเข้าพระทัย ถึงสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดของนาง การที่พระองค์ทรงรับรู้และเข้าพระทัย ก่อให้เกิดการ เผชิญหน้าสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เพียงเอ่ยไม่กี่คำเท่านั้น
แล้วความสามารถในการมองเห็นของพ่อเอง เมื่อพ่อมองดูสิ่งต่างๆ พ่อค่อยๆ ดูไปอย่างละเอียดถี่ ถ้วน หรือสิ่งนี้คล้ายๆ กับการที่พ่อเลื่อนดูรูปประมาณหลายพันรูปอย่างรวดเร็วในโทรศัพท์มือถือ บ่อยแค่ ไหนที่เรามองดูสิ่งต่างๆ โดยที่เราไม่ได้เห็นสถานการณ์นั้นจริงๆ? บางครั้งสิ่งแรกของเราคือการถ่ายรูป ตัวเราเองในโทรศัพท์มือถือ โดยที่ไม่แม้กระทั่งมองตาคนที่มากับเรา
พวกเรามองเห็นถึงความเป็นจริงของความตายรอบๆ ตัวเรา และอีกทั้งภายในตัวเราตลอดเวลา ซึ่งเป็นทางกายภาพ จิตวิญญาณ อารมณ์ความรู้สึก สังคม พวกเราได้สังเกตสิ่งเหล่านั้นจริงๆ หรือ? หรือ เราปล่อยสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นกับตัวพวกเรา มีสิ่งไหนบ้างที่พวกเราสามารถทำได้เพื่อฟื้นชีวิตของเรา?
พ่อคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่ผู้คนในช่วงอายุลูกๆ ต้องพบเจอหรือฝ่าฟันเช่นกัน บางคนเสี่ยงเดิม พันทุกสิ่งกับช่วงเวลาปัจจุบัน และเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเองในสถานการณ์ที่รุนแรง หลายคน “เสียชีวิตลง” เพราะพวกเขารู้สึกสิ้นหวัง มีเยาวชนหญิงคนหนึ่งบอกพ่อว่า “ในท่ามกลางเพื่อนของหนูหนูสัมผัสถึงความ เหินห่าง และความกล้าหาญที่ถดถอยที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง” เป็นสิ่งที่น่าเศร้ามากที่มีเยาวชนเป็นโรคซึมเศร้า ในบางกรณีสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการเร้าเร่งให้เกิดการฆ่าตัวตาย มีกี่เหตุการณ์แล้วที่ความเฉยเมยได้เข้า
ครอบงำ แล้วทำให้หลายคนตกลงไปในเหวแห่งความปวดร้าวและความสงสาร มีคนหนุ่มสาวกี่คนแล้วที่ร่ำ ไห้โดยไม่มีใครได้ยินคำร้องขอของพวกเขา พวกเขากลับได้พบเจอลักษณะของความว้าวุ่นใจและการที่ไม่มี ใครสนใจ ในฐานะมนุษย์ผู้ซึ่งต้องการที่จะสนุกกับ “ช่วงเวลาแห่งความสุข” ของพวกเขาโดยที่ไม่มีใครหรือสิ่ง ไหนมาวุ่นวาย
คนอื่นๆ สูญเสียชีวิตของตนให้กับสิ่งผิวเผินไม่สำคัญ คิดว่าพวกเขาเองยังมีชีวิต แต่ความจริงพวก เขาได้ตายไปแล้ว (เทียบ วว 3:1) เมื่ออายุ20 ปีพวกเขาถูกฉุดชีวิตตนเองให้ตกต่ำลงแทนที่จะลุกดึงตัวเอง ให้ดีขึ้น เพื่อสมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตน ทุกอย่างนั้นตัดทอนลงมาให้เหลือเพียงใช้ชีวิตให้สนุก และเเสวงหาความพึงพอใจเพียงเล็กน้อย เช่น ใช้เวลาเพียง 1 นาทีเพื่อความบันเทิง ความสนใจและความ รักเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วการแพร่หลายของความหลงใหลในตัวเองในโลกสังคมออนไลน์ซึ่งมีอิทธิพล เยาวชนรวมถึงผู้ใหญ่หลายคนกำลังใช้ชีวิตเช่นนี้ในปัจจุบัน บางคนอาจจะเชื่อเกินไปกับวัตถุสิ่งของเหล่านั้น ซึ่งอยู่รอบข้าง ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นสนใจเงินทองและการใช้ชีวิตสบายๆ ราวกับสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักใน ชีวิตเท่านั้น บนเส้นทางอันยาวไกลนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้พวกเขาพบความทุกข์ความไม่สนใจ ใยดีความเบื่อหน่ายในชีวิต ความรู้สึกบนความอ้างว้าง และความท้อแท้
สถานการณ์อันเลวร้ายอาจเป็นผลของความล้มเลวของตัวบุคคล เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสนใจในบางสิ่ง ซึ่งเราตั้งใจทำ ผลที่ตามมาอาจไม่ได้ดั่งใจต้องการ สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ที่โรงเรียน หรือเมื่อเราต้องการเป็น ผู้ชนะในขณะเล่นกีฬา หรือกิจกรรมศิลปะ… จุดจบของ “ความฝัน” อาจทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า ท้อถอย แต่ความล้มเหลว การเป็นผู้แพ้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ทุกคน บางครั้งอาจจะผ่านพ้นไปด้วยดีเปี่ยม ด้วยพระพร ไม่บ่อยนักที่สิ่งที่เราคิดว่าความสุขอาจกลายเป็นสิ่งล่อลวง สิ่งล่อลวงที่ต้องการทุกอย่างจากเรา มันกดขี่พวกเราและพวกเราไม่อาจจะได้สิ่งใดกลับมา และที่สุดความสุขนั้นจะพินาศไป เหลือเพียงแค่ฝุ่น ใน ความล้มเหลวนั้น ถ้าสิ่งที่กำลังล่อลวงเราพินาศได้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี
มีสถานการณ์มากมายเกี่ยวข้องกับความตายทางด้านร่างกาย และความตายทางด้านศีลธรรม ที่ลูก ทุกคนอาจพบเจอ พ่อคิดถึงเรื่องสารเสพติด อาชญากรรม ความยากจน หรือความเจ็บป่วย พ่อปรารถนาให้ ลูกทุกคนไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้และตระหนักถึงคำว่า “ถึงตายได้” เพื่อตัวพวกลูกเองและคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ ตัว ณ เวลานี้หรือในอดีต ในเวลาเดียวกันพ่ออยากให้ทุกคนจำไว้ว่าหนุ่มที่อยู่ในพระวรสารได้ตายอย่าง แท้จริง แต่เขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยผู้ที่ต้องการให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้กับเราทุก คนในวันนี้และในทุกๆ วัน
เพื่อให้เรามีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความรู้สึกของผู้ที่ได้สัมผัสกับความเจ็บปวดจาก “ภายในจิตใจ” ของบุคคลอื่น ความรู้สึกของพระเยซูเจ้าเองทำให้เขาได้มีส่วนร่วมในชีวิตของผู้อื่น เขาแบกรับความเจ็บปวดของผู้อื่นมา เป็นของตนเอง รับเอาความเศร้าโศกของมารดามาเป็นของตนเอง แล้วรับเอาการเสียชีวิตของบุตรชาย คนเล็กมาเป็นของตนเอง
ในฐานะเยาวชน พวกลูกได้แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า พวกลูกสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจ แก่ผู้อื่นได้พ่อตระหนักถึงพวกลูกทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มใจเมื่อพวกเขาต้องการ การที่ เหล่าอาสาสมัครรุ่นเยาว์ได้เข้ามาและยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อื่นนั้น จะไม่ก่อให้เกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว หรือ น้ำท่วมขึ้นเลย การระดมพลครั้งใหญ่ของเยาวชน ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม
การเป็นประจักษ์พยานถึงความสามารถในการได้ยินเสียงร้องของโลกใบนี้
พวกลูกเยาวชนที่รัก อย่าปล่อยให้ความอ่อนไหวของพวกลูกต้องมลายหายไป ขอให้ลูกใส่ใจต่อคำ อธิษฐานวิงวอนของผู้ที่กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่เสมอ และให้กำลังใจแก่ผู้ที่กำลังเศร้าโศก และเสียชีวิตใน โลกปัจจุบัน “ความจริงของชีวิตนี้อาจมองเห็นได้ผ่านดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา” (พระคริสตเจ้าทรงพระชนม์ ข้อที่ 76) หากลูกเรียนรู้ที่จะร้องไห้ไปกับผู้ทีกำลังเศร้าโศก ลูกจะพบกับความสุขที่แท้จริงได้ ในสมัยของลูก นี้มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ และการตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง รวมไปถึงการถูกเบียดเบียนข่มเหง ขอให้ ลูกแบกรับบาดแผลของพวกเขา แล้วพวกลูกจะกลายมาเป็นความหวังของโลกใบนี้ให้ไปบอกพี่น้องของลูก ว่า “จงลุกขึ้นเถิด เพราะเธอไม่ได้อยู่เพียงลำพัง” แล้วลูกจะช่วยให้พวกเขาได้ตระหนักได้ว่า พระบิดาเจ้าได้ ทรงรักเรา และได้ส่งพระเยซูลงมาแทนพระหัตถ์ของพระองค์เพื่อช่วยดึงให้เราลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง
เพื่อก้าวไปข้างหน้า และออกไป “สัมผัส” ผู้อื่น
พระเยซูทรงหยุดขบวนศพไว้พระองค์ได้เดินเข้าไปใกล้ผู้ที่ล่วงลับนั้น และแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึง ความใกล้ชิดนั้น โดยความใกล้ชิดที่พระองค์ทรงกระทำ ทำให้เกิดการฟื้นคืนชีวิตให้กับคนคนหนึ่ง เป็นการ กระทำในแบบของประกาศก เป็นกิจการที่ให้ชีวิต สัมพันธ์กับชีวิต เป็นสัมผัสที่เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า ทำให้ ร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มผู้นั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
สัมผัสดังกล่าวท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวและสิ้นหวัง เป็นสัมผัสของพระเจ้า เป็นสัมผัสแห่ง ความรักแท้ที่มีต่อมนุษย์ เป็นสัมผัสที่เปิดให้เห็นถึงเสรีภาพและความสมบูรณ์ของชีวิตใหม่ ซึ่งเกินความ คาดคิดของมนุษย์การกระทำของพระเยซูเจ้านั้นมากมายจนสุดที่จะคณานับ เป็นการเตือนใจให้เราได้ ตระหนักถึงว่า การเข้าใกล้เพื่อสัมผัสดังกล่าว แม้จะเป็นเพียงการกระทำที่เรียบง่าย แต่ก็กลับมีพลังมหาศาล ที่สามารถมอบคืนชีวิตให้แก่คนคนหนึ่งได้เลยทีเดียว
พวกลูกก็เช่นกัน ในฐานะเยาวชน หากลูกสามารถเข้าสัมผัสกับความเจ็บปวดที่แท้จริง และความ ตายที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าลูกได้ลูกก็สามารถเข้าไปสัมผัสพวกเขา และให้ชีวิตใหม่แก่พวกเขาได้ดังเช่นที่ พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำ ขอขอบพระคุณพระจิตเจ้าที่โปรดให้ลูกได้สัมผัสกับความรักนั้น โปรดให้หัวใจของ ลูกได้สัมผัสความดีของพระองค์โปรดให้ลูกได้ตระหนักและสัมผัสถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าต่อสิ่งที่ พระองค์ทรงสรรค์สร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อพี่น้องที่ยังคงหิวและกระหาย เจ็บป่วย หรือ ถูกจองจำ เพื่อให้
ลูกสามารถเข้าใกล้พวกเขาและสัมผัสพวกเขาได้เหมือนที่พระองค์ทรงกระทำ แล้วมอบชีวิตให้แก่เพื่อนของ ลูกที่ได้ตายไป เพราะดวงใจของพวกเขาแหลกสลายและเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน สูญเสียสิ้นซึ่งความ ศรัทธา และความหวัง
“หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด!”
พระวรสารมิได้เอ่ยนามของชายหนุ่มที่พระเยซูได้ปลุกให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาในเมืองนาอิน เพราะ ต้องการให้ผู้อ่านได้พิสูจน์ตัวตนของชายผู้นั้นไปพร้อมพระองค์พระองค์ได้บอกกับลูก กับพ่อ และกับลูกๆ ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ว่า “จงลุกขึ้นเถิด” เราตระหนักดีว่า ในฐานะคริสตชนเมื่อใดที่เราล้มลง ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เราจะต้องลุกขึ้นยืนขึ้นให้ได้ทุกครั้ง ผู้ที่มิเคยออกเดินทางจะไม่มีวันล้ม และพวกเขาก็จะไม่สามารถก้าวไป ข้างหน้าได้ด้วยเช่นเดียวกัน จึงเป็นการที่เราสมควรที่จะรับความช่วยเหลือที่พระเยซูเจ้าทรงประทานให้แก่ เรา และทำให้เราเข้ามามีความเชื่อในพระองค์สิ่งแรกที่ต้องกระทำ คือ การลุกขึ้นและตระหนักว่าชีวิตใหม่ที่ พระเยซูทรงมอบให้เรานั้นดียิ่งเป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการดำรงชีวิต และเดินก้าวต่อไปสู่อนาคตพร้อมกับผู้ที่คอย อยู่เคียงข้างพวกเราอยู่เสมอ พระเยซูเจ้าทรงช่วยเราให้ดำรงชีวิตอย่างสมเกียรติและมีความหมาย
ชีวิตนี้ถือเป็นสิ่งใหม่ที่ทรงสรรค์สร้าง การเกิดใหม่นี้มิใช่เป็นเพียงแค่การปรับสภาพจิตใจ บางทีใน ช่วงเวลาที่เราเผชิญความทุกข์ยากลำบาก เราคงได้ยินคำพูดซ้ำ บางทีในช่วงเวลาของความยากลำบาก หลายคนอาจเคยได้ยินผู้คนใช้หลักการ “มหัศจรรย์” ซึ่งเป็นหลักการที่ทันสมัยในปัจจุบัน หลักการที่ดูเหมือน จะนำมาใช้กับทุกสิ่งอย่างได้คือ “ลูกต้องเชื่อในตัวเอง” “ลูกต้องค้นพบสิ่งที่อยู่ภายในใจของลูกให้ได้”
“ลูกต้องตระหนักถึงพลังงานบวกของลูก” … แต่นี่เป็นเพียงคำพูดซึ่งไม่สามารถนำมาใช้กับคนที่ “ตายด้าน จากภายใน” คำพูดของพระเยซูเจ้าสะท้อนให้ทุกคนมองหยั่งลึกลงไป เป็นคำพูดที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมี ความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถทำให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพได้
จงมีชีวิตใหม่ให้เหมือนกับ “การฟื้นขึ้นจากความตายอีกครั้ง”
พระวรสารได้บอกเราไว้ว่า ชายหนุ่มได้“เริ่มพูด” (ลก 7:15) ผู้ที่พระเยซูเจ้าเข้าไปสัมผัสและโปรด ให้ฟื้นคืนชีพนั้น พวกเขาได้ลุกขึ้นและพูดในทันทีโดยไม่แสดงถึงความลังเลหรือเกรงกลัวสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ภายในจิตใจของพวกเขาเลย ไม่ได้คำนึงถึงบุคลิกของตนเอง ความปรารถนา ความต้องการ และความฝัน ของพวกเขา บางทีพวกเขาอาจไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อนเพราะพวกเขาคิดว่าจะไม่มีใครเข้าใจ
การพูดออกมานั้นสื่อถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เมื่อเรา “ตาย” ทุกอย่างก็จะจบลง ความสัมพันธ์ ทุกอย่างจะสิ้นสุด หรือกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ กลายเป็นสิ่งเทียมเท็จ และมีแต่ความเสแสร้ง เมื่อพระ เยซูได้ชุบชีวิตหนึ่งขึ้น พระองค์“ให้” เราแก่ผู้อื่น (เทียบบทที่15)
ทุกวันนี้เรามัก “เชื่อมโยง” แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน การใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ตลอดเวลาโดยไม่ จำกัด ทำให้เรามักติดอยู่กับหน้าจอของอุปกรณ์เหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา ในสาส์นฉบับนี้พ่อจึงต้องการร่วมกับ ลูกเเละลูกเยาวชนทั้งหลาย เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ให้เป็นไปตามคำสั่งของพระ เยซูเจ้าที่สั่งให้“จงลุกขึ้น” ทำให้เยาวชนที่มักปลีกตัวเองและแยกตัวออกจากสังคม เข้าไปอยู่ในโลกแห่ง เสมือนจริง และช่วยกันประกาศคำเชิญชวนของพระเยซูเจ้า ที่กล่าวว่า “จงลุกขึ้นเถิด!” พระองค์ได้เรียกร้อง ให้เรายอมรับความเป็นจริงมากกว่าโลกเสมือนจริง โดยมิได้บอกว่าให้ปฏิเสธเทคโนโลยีแต่ให้ใช้ตามความ เหมาะสม มิใช่ยึดติดอยู่เสมอ “จงลุกขึ้นเถิด!” ยังเป็นคำเชิญให้เราให้กล้าที่จะ “ฝัน” กล้าที่จะ “เผชิญกับสิ่ง ท้าทาย” กล้าที่จะ “อุทิศตนเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก” กล้าที่จะจุดประกายความหวังและแรงบันดาลใจของลูกอีก ครั้ง และมองไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น สวรรค์ชั้นฟ้า หมู่ดาว และโลกรอบตัวเรา “จงลุกขึ้นแล้วเป็น ตัวของตัวเอง!” หากนี่คือข้อความจากพวกเรา เยาวชนหลายคนจะหยุดหันมามอง จะไม่เบื่อหน่าย หรือ เหน็ดเหนื่อยดังเช่นที่เคยเเละพวกเขาจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
หากลูกมอบชีวิต จะมีคนจะอยู่ที่นั่นเพื่อรอรับ ดังเช่นหญิงสาวผู้นึงได้กล่าวไว้“จงลุกออกจากที่นอน ของตน เมื่อเห็นว่ามีบางสิ่งที่สวยงามเกิดขึ้น และลองกระทำสิ่งที่คล้ายกันเถิด” ความสวยงามที่จะปลุกให้ เกิดแรงผลักดัน และหากเยาวชนมีแรงผลักดันเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่จะสร้างสรรสิ่งที่ดีกว่า หรือ เกี่ยวกับบางคน พวกเขาจะลุกขึ้นและทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น เยาวชนจะลุกขึ้นจากความตาย กลับกลายมา เป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซูเจ้า และอุทิศชีวิตของพวกเขาให้แก่พระองค์
ถึงบรรดาเยาวชนที่รักทั้งหลาย แรงผลักดันและความฝันของพวกลูกคืออะไรหรือ? ปล่อยให้มันเป็น อิสระและฉายเเสงมันออกมาเพื่อโลกใบนี้เพื่อพระศาสนจักรและเยาวชนคนอื่นๆ บางสิ่งที่สวยงาม ไม่ว่าจะ ในด้านจิตวิญญาณ ศิลปะ หรือสังคม พ่อขอกล่าวย้ำในสิ่งที่พ่อเคยได้กล่าวไปในภาษาแม่ของพ่อ คือ Hagan lío! เปล่งเสียงของลูกออกไป ให้ทุกคนได้ยิน! พ่อจำได้ว่า มีเยาวชนคนหนึ่งได้พูดว่า : “หากพระเยซูทรง ห่วงเพียงแค่ตัวเอง บุตรของหญิงหม้ายก็คงไม่สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้”
การฟื้นคืนชีพและการส่งคืนชายหนุ่มคนนั้นให้กับแม่ของเขา หญิงหม้ายผู้นั้น เราจะมองเห็นภาพ สะท้อนของพระแม่มารีย์มารดาพระเจ้า ผู้ที่เยาวชนทั้งโลกให้ความไว้วางใจ ในหญิงหม้ายผู้นั้น เราสามารถ มองเห็นได้ถึงพระศาสนจักรที่ต้องการการต้อนรับด้วยความรักที่อ่อนโยนต่อเยาวชนทุกคน โดยไม่มี ข้อยกเว้น ดังนั้น ให้เราวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระแม่มารีย์เพื่อพระศาสนจักรของเรา ให้พระแม่ยังคงเป็นแม่ของลูกทั้งหลายที่ได้ตายไปแล้ว ร่ำไห้คร่ำครวญเพื่อพวกเขา และนำพวกเขาให้กลับฟื้นคืนชีพ ใหม่อีกครั้ง หากพวกลูกตาย พระศาสนจักรก็ตายไปด้วย และหากพวกลูกกลับฟื้นคืนมาได้พระศาสนจักรก็ จะกลับฟื้นคืนมาด้วยเช่นเดียวกัน
ขอให้พวกลูกเดินทางโดยสวัสดิภาพ และอย่าลืมสวดภาวนาเพื่อพ่อด้วย
อัครมหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน กรุงโรม
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2020
ระลึกถึงแม่พระประจักษ์แห่งเมืองลูร์ด
ผู้แปล : นางสาวมนทิรา ฮกเจริญ และทีมประสานงานเยาวชนสังฆมณฑลอุดรธานี
ผู้ตรวจทาน : บาทหลวงภฤศ ทิพย์ทอง C.Ss.R.
7